พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ทำงานด้วยการรณรงค์ ส.ส. และว่าที่ผู้สมัครของพรรคไม่ได้ลงพื้นที่พร้อมกับเงินซื้อเสียง-ซื้อหัวคะแนน แปรงบประมาณลงพื้นที่ หรือการทำงานโดยใช้ระบบอุปถัมภ์
ด้วยวิธีการทำงานแบบนี้หลายครั้งไม่สามารถตอบสนองกับความคาดหวังของประชาชนในพื้นที่ การทำงานโดยไม่มีหัวคะแนนทำให้ผู้สมัคร ส.ส. มีข้อจำกัดในการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ และไม่มีการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน
คำถามที่พรรคก้าวไกลอยากให้ทุกท่านช่วยออกแบบคือ วิธีการทำงานพื้นที่ในแบบของก้าวไกลควรเป็นแบบไหน ที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและเข้าถึงประชาชนทุกพื้นที่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาจุดยืนทางการเมืองที่ถูกต้อง?
รูปแบบการทำงานในพื้นที่ผมว่าต้องออกแบบให้เหมาะสมกับท้องที่ เราอยู่ในท้องที่เกษตร ปัญหาคืออะไร เราอยู่ในพื้นที่เมือง ปัญหาคืออะไร ที่ดินทำกิน น้ำแล้ง น้ำท่วม เริ่มต้นจากการอยากรู้อยากเห็น เริ่มต้นจากการซ่อกแซ่ก สอบถาม และขอแนวคิด พ่ออุ้ย แก้ยังไง หลวงพ่อมีหนทางไหม เพื่อนำเอามาใช้ทำงาน เราไม่ได้ไปหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อไปขอหัวคะแนน ไม่ใช่ไปคุยกับผู้นำชุมชนเพื่อให้เป็นหัวคะแนน แต่อยากรู้ว่าปัญหาคืออะไร และแต่ละคนคิดยังไง การเป็นพรรคการเมืองที่เข้าไปหาช้าวบ้านแล้วชี้บอกว่าต้องทำอะไร กับไปคุยกับชาวบ้านแล้วระดมวิธีแก้ปัญหา ตกผลึกออกมาให้ได้ จากสิ่งที่ชาวบ้านคิด แล้วคิดว่าทำได้แค่ไหน ก้าวไกลจะช่วยได้อย่างไร จัดทีมลงพื้นที่แล้วขอความเห็น เข้าไปขอว่าเราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง เรื่องนี้ไม่ง่ายแต่ต้องทำและต้องทำให้ต่อเนื่อง
พรรคควรมีการจัด pathway ของผู้เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม
เริ่มจากกองเชียร์ไปสู่ผู้เข้าร่วมไปสู่อาสาสมัครไปสู่ทีมดำเนินงานหรือผู้แทน
กองเชียร์คือผู้ที่สนใจในพรรคหรือสนับสนุนพรรคอย่างห่างๆ
ผู้เข้าร่วมคือผู้ที่อาจจะมาร่วมกิจกรรมพรรคเป็นบางครั้ง
อาสาสมัครคือผู้ที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมภายในพรรค
ทีมดำเนินงานคือผู้ที่คอยผลักดันกิจกรรมในแต่ละพื้นที่ให้พรรค
ผู้แทนคือผู้ที่เป็นตัวแทนหรือเป็นปากเสียงให้แก่ผู้คนในกลุ่มนั้น รวมถึงเป็นไอคอนให้กับพื้นที่
ที่ผ่านมาระบบมีระยะห่างระหว่างกองเชียร์กับผู้แทนอยู่
ทำให้ทั้งกองเชียร์จะมาเป็นผู้เข้าร่วมหรืออาสาสมัครก็เกิดขึ้นไม่บ่อย
เนื่องจากการจัดกิจกรรมมีไม่บ่อย ระบบอาสาสมัครไม่เกิด
จนทำให้เวลาจะหาคนดำเนินงานหรือผู้แทนก็ทำไปด้วยความยากลำบาก
การที่พรรคเริ่มด้วยการเลือกผู้แทนก่อนโดยให้พื้นที่คอยคัดกรองอีกที
แต่พื้นที่เองก็ไม่มีกระบวนการหรือพื้นที่ให้เห็นทั้งศักยภาพหรือแนวคิดของผู้คน
พื้นที่เองก็มีมาตรวัดไม่ได้แม่นยำขนาดที่จะบอกได้ว่าบุคคลที่สมัครเป็นผู้แทนใช้ DNA ก้าวไกลหรือไม่
อย่างดีก็ได้แค่ดูบุคลิกภาพ ดูไหวพริบ เช็คเบื้องหลังเท่าที่เช็คได้
นั่นเพราะพรรคขาดกระบวนการที่ทำให้มนุษย์กับมนุษย์มามีปฏิสัมพันธ์กันผ่านกิจกรรม
การจะรู้ว่าใครเหมาะกับอะไรหรือไม่เหมาะกับอะไร รวมถึงการสร้างความเป็นมิตรเยี่ยงผู้มีอุดมการณ์ร่วมกัน
จะต้องมีเวทีให้พบปะพูดคุย และปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ไม่ว่ากิจกรรมรณรงค์หาเสียง รณรงค์แคมเปญ สมาชิกสัมพันธ์ จับกลุ่มตามอัธยาศัย หรือกิจกรรมสาธารณะประโยชน์
ทั้งนี้ทั้งนั้นกิจกรรมจะเกิดขึ้น ย่อมต้องมีผู้มาผลักดันให้เกิด
ที่ผ่านมาพรรคค่อนข้างให้ความสำคัญน้อยในเรื่องทีมดำเนินงาน
หรือถ้าจะตรงไปตรงมาคือการจัดการภายในทั้งหมดค่อนข้างไม่ประสบความสำเร็จ
นั่นเพราะพรรคแทบไม่จริงจังกับเรื่องนโยบายภายใน รวมถึงการผลักดันให้นโยบายภายในบรรลุผล
เราจะใช้ข้ออ้างว่างานพรรคเป็นงานอาสาสมัครทำให้ทำงานลำบากไม่ได้
ผู้หล่อเลี้ยงอาสาสมัครก็คือทีมดำเนินงาน ถ้าทีมดำเนินงานหล่อเลี้ยงอาสาไม่เป็นหรือไม่ถูกวิธี
ระบบการพัฒนาอาสาสู่ทีมดำเนินงานก็ไม่เกิด ซึ่งไม่เกิดก็ไม่ใช่แค่ปัญหาของแต่ละจังหวัด
หมายความว่าการที่ทีมดำเนินงานแต่ละจังหวัดไม่มีทักษะ ทีมส่วนกลางก็ต้องเข้าไปพัฒนาทักษะเหล่านั้น
เห็นด้วยกับทุกข้อความคิดเห็นของคุณ blueocynia ครับ
จัดทำdataพื้นที่โดยใช้เครื่องมือเข้ามาช่วย เช่น google datastudio Sheet อื่นๆ และเปิดให้บุคคลากรในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ (Decentralize data)
สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างคนพื้นที่กับทีมงานพรรคส่วนกลาง ควรยกเลิกตัวแทนประสานงานเปลี่ยนมาเปิดพื้นที่พูดคุยสรุปความคิดเห็นให้สมาชิกได้รับรู้ทั่วถึง ให้สมกับคำว่าทุกคนเป็นเจ้าของพรรค
สรุปประเมินผลอย่างต่อเนื่องบนหลัก okr objective key resource
สุดท้ายอยากฝาก เสมอภาคไม่เท่ากับเท่าเทียม เมื่อใดเสมอภาคเท่ากับเท่าเทียมความยุติธรรมจะไม่เกิด
สิ่งที่ ส.ส. เขตพื้นที่พรรคก้าวไกลเจออาจคือการไม่ได้มีต้นทุนสูงเท่า ส.ส. พรรคใหญ่พรรคอื่น
นอกจากกระแสในเน็ตแล้ว สิ่งที่อยากให้พรรคก้าวไกลทำก็คือเจาะกลุ่มตลาดชนชั้นกลาง ที่ผิดหวังกับรัฐบาล ด้วย เพราะคนกลุ่มนี้มักไม่ค่อยต้องพึ่งพาการเมืองแบบเดิมคือการอุปถัมภ์มากนัก
ให้ก้าวไกลขายความสดใหม่ หน้าใหม่ เจาะตลาดกลุ่มนี้
แน่นอนว่าก็ถกเถียงต่อได้ว่าชนชั้นกลางบนจะเปลี่ยนมาเลือกก้าวไกลได้จริงมั้ย หรือชนชั้นกลางล่างอาจมีปัจจัยอื่นที่เลือกด้วยที่ไม่ได้มีเรื่องอุปถัมภ์
การทำงานในพื้นที่อาจทำได้โดยการลงพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน ถามถึงปัญหาต่างๆ เป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินหรือใช้หัวคะแนนแต่อย่างใด
นอกจากนี้ที่ผ่านมา พรรคค่อนข้างละเลยการติดต่อสัมพันธ์กับสมาชิกพรรค และขาดกิจกรรมกับสมาชิกพรรค อย่าให้สมาชิกพรรคเข้าใจไปว่าพรรคสนใจติดต่อกับสมาชิกพรรคก็เมื่อจะมีการเลือกตั้งเท่านั้น
ลองศึกษาวิธีการทำงานของ อ.ชัชชาติ ดูครับ หลาย ๆ โครงการหรือกิจกรรมทำได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลย เพียงแต่เป็นการใช้ "แสงในตัวเอง" เข้าไปดึงดูดภาคเอกชน/ประชาสังคมต่าง ๆ เข้ามาร่วมกันจัดงานที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ตำแหน่ง สส. ก็เป็นอีกตำแหน่งหนึ่งที่มี "แสงในตัวเอง" อาจจะพอนำวิธีคิดนี้มาปรับใช้ได้บ้าง (อาจจะไม่ได้ทั้งหมด ด้วยความที่เป็นนักการเมืองอาจจะติดภาพบางอย่างที่บางคนอาจไม่อยากยุ่งด้วย แต่คิดว่าอย่างน้อยน่าจะทำได้ในบางบริบท เช่นในการประสานงานกับเจ้าของธุรกิจ/ประชาสังคม ที่มีความคิดก้าวหน้า)
งานพื้นที่ของพรรคค่อนค้างไม่ชัดเจนจึงไม่สามารถเจาะใจคนที่ไม่ใช่คนที่สนใจนโยบายเเบบเน้นโครงสร้างได้ ผู้สมัครควรมีผู้รู้ในพื้นที่พื้นรู้พื้นเพเขตที่สมัครทำงานด้วยไม่งั้นตอนที่มาหาเสียงมันไม่มีอะไรที่เจาะใจคนบางกลุ่มได้เเล้วกลัวจะเสียคะเเนนตรงนี้ไป
ถ้าจุดยืนของพรรคก้าวไกลยังเชื่อในคนรุ่นใหม่คนที่มีหัวก้าวหน้าของประเทศนี้ ท่านต้องลงมาอาจจะไม่ใช่แค่ใช้ระบบ social - network เป็นหลัก แต่ท่านต้องดึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ กทม. มาร่วมกันทำงาน โดย อย่างไร ทำไม เพื่ออะไร มันอาจจะยาก อย่างเช่น ท่านมี สมาชิกพรรคที่ร่วมกันบริจาคให้พรรค พวกท่านคิดจะดึงคนเหล่านี้ อาจจะมีคนที่อยากมาร่วมและไม่มาร่วมเป็นธรรมดา ที่อยู่ทั่วประเทศมาร่วมทำงาน ร่วมพูดคุย แก้ปัญหา และเจอตัวตนพวกเขาจริงๆหรือไม่ ปัญหาของทุกอย่างในประเทศนี้มันอยู่ในพื้นฐานของรายบุคคล มากกว่าสิ่งของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่ออกมาจากฝีมือคน ถ้าท่านเชื่อแบบนี้ ทางพรรคอาจจะแก้ปัญหาคนได้มากกว่าแก้กฏหมายในสภาอีกครับ
ความต่อเนื่องในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ในหลายๆพื้นที่ พรรคเริ่มสร้างเครือข่ายสร้างคน จากการเป็นอนาคตใหม่ แต่พอไปเรื่อยๆ ทีมจังหวัดหลายที่แตก ผิดใจกับพรรค มันเกิดอะไรขึ้น? ส่วนกลางของพรรคควรโอบรับความหลากหลายของจริต นิสัย และวัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างกัน ไม่ควรต้องคอยมาตั้งคำถามว่า คนโน้น คนนี้ เป็น "เนื้อแท้" รึเปล่า อยากโอบรับคน ต้องลดอคติลงก่อน ส่วนกลางต้องพบปะพูดคุยกับทีมงานจังหวัดบ่อยๆ อย่าให้ข้อมูลของจังหวัดถูกกรองจากคนๆเดียวที่มีแนวโน้มจะสามารถส่งอิทธิพลทางความคิดต่อส่วนกลางได้มากกว่าคนอื่น สุดท้ายทำให้คนทำงานรู้สึกว่าเสียงมันมีไม่เท่ากัน ทั้งๆที่พรรคบอกว่าคนเท่ากัน เคยได้ยินมาหลายเคสที่พื้นที่ตัดสินใจบางอย่าง แต่ส่วนกลางใช้การกดดันให้ไปในแนวทางตัวเอง ถ้าต้องการทำงานพื้นที่ ก็ฟังเสียงของคนในพื้นที่จริงๆ หาทีมจังหวัดที่พร้อมจะพาผู้สมัครไปพบกับคนที่ต่างๆ คนหลากหลาย ผู้สมัครส.ส.ต้องตกผลึกความคิดนโยบายของพรรคอย่างถ่องแท้เพื่อที่จะสามารถเอาไปพูดคุยกับชาวบ้านได้อย่างปราดเปรื่อง
โพสต์นี้ขอเสนอเป็นแบบโครงสร้างจริงๆ มากกว่าการบ่น
สมาชิกพรรคแบ่งได้สองกลุ่ม
1. กลุ่มเจนใหม่ เข้าถึงสื่อ เข้าใจแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่างๆได้ง่าย
2. กลุ่มเจนเก่า ที่ไม่ถนัดเรื่องการใช้แพล็ตฟอร์มต่างในมือถือ
เพื่อให้ข้อเสนอที่ว่า สมาชิกพรรคสามารถเลือกทีมงานจังหวัดได้เอง ผมเสนอให้
1. สร้างแพล็ตฟอร์มเพื่อการทำ Primary Vote เลือกทีมงานจังหวัด คนเจ็นใหม่เข้าถึงได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
2. แต่เพื่อให้คนเจ็นเก่าที่ไม่สะดวกสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วย ควรทำการโหวตผ่านการตอบแบบฟอร์มทางไปรษณีย์
ในแพล็ตฟอร์มและเอกสารที่ส่งให้สมาชิกพรรค ต้องมีพื้นที่ของการแนะนำตัว ประวัติ และอธิบายอุดมการณ์ว่าทำไมถึงอยากมาทำงานให้พรรค
เมื่อเลือกทีมงานจังหวัดที่เสียงมาจากประชาชน ทีมงานจังหวัดก็มีความชอบธรรม
คัดเลือกผู้สมัครสส.ด้วยการเสนอชื่อโดยทีมงานจังหวัด สมาชิกโหวตผ่านแพล็ตฟอร์มหรือจดหมาย
ทีมงานจังหวัด วางแผนร่วมกับผู้สมัคร ถึงยุทธศาสตร์ในการเข้าหาผู้คน พื้นที่ไหนมีจุดเด่นจุดด้อยแบบไหน ต้องเข้าหาคนกลุ่มไหนแบบไหนบ้าง ทำยังไงถึงจะซื้อใจคนได้โดยไม่ใช้เงิน หาทรัพยากรในการทำงานพื้นที่ยังไงได้บ้าง ประเด็นเหล่านี้ต้องได้เสียงจากชาวบ้านสมาชิกพรรคมาช่วยกันตกผลึก ไม่ใช่แค่จากคนไม่กี่คน วางแผนร่วมกันในแต่ละเขต ติดตามการทำงาน
พรรค ควรมีสำนักงานทุกจังหวัด และมีเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อทำงานด้านข้อมูล นโยบาย รับเรื่องร้องเรียน สื่อต่างๆ เพื่อ วันหนึ่ง หากมีงูเห่า งานก็ยังคงเดินไปได้ตามปกติ ประเด็นจะอยู่กับพรรค ไม่ใช่กับตัวบุคคล