ปัญหางูเห่าเป็นเรื่องที่ควรแตะแต่ไม่ควรกระพือ ควรแตะหมายถึงควรแก้ไข แต่ไม่ควรกระพือคือไม่ควรให้เป็นกระแส เพราะเมื่อเป็นกระแสจะเกิดความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน แล้วเกิดสภาพตรวจสอบกันเองภายในมากเกินไป จนผู้คนที่อยู่ได้ก็อยู่อย่างอึดอัดและต้องคอยสอดส่องกันเองว่าใครจะไปรึเปล่า ซึ่งเอาเข้าจริงๆมันเกิดจากปัจจัยภายในที่พรรคอนาคตใหม่เดินเกมเรื่องผู้สมัครเร็วไป และปัจจัยภายนอกที่พรรคคู่แข่งใช้วิธีลดทอนผู้สมัครเพื่อทำให้พรรคอ่อนแอลง ซึ่งก็ถือว่าได้ผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว คือระยะสั้นได้ตัว สส.ไป และระยะยาวพรรคต้องมาพะวงเรื่องงูเห่าจนถึงปัจจุบัน
อย่างที่เกริ่นไปว่าถึงอย่างไรก็ควรแก้ไข นั่นหมายความว่าที่ผ่านมารวมถึงตอนนี้แม้ว่ากระแสความใหม่จะหมดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก้าวไกลมีเวลามากกว่าช่วงอนาคตใหม่ในการคัดสรรหาผู้แทน ซึ่งวิธีที่พรรคเลือกใช้คัดผู้สมัครด้วยการเลือกผู้แทนก่อนการตั้งขบวน ถือว่าเป็นวิธีที่เหมือนจะพยายามแก้ปัญหางูเห่า แต่ไม่ได้แก้ไขได้ขนาดนั้น อย่าลืมว่ารากฐานที่พรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคของประชาชนได้คือการเป็นพรรคมวลชน และผู้แทนก็ต้องมาจากมวลชนจึงจะยึดโยงกับรากฐาน
การได้มาซึงผู้แทนโดยไม่มีรากฐาน ซึ่งต่อให้พรรคต้องจ่ายเงินเพื่ออบรมผู้แทนที่ไม่ได้มาจากรากฐานมากแค่ไหน ก็ไม่อาจลบช่องว่างในจุดนี้ได้ เพราะหน้าที่ของผู้แทนคือการออกศึก ผู้แทนไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการสร้างฐานมวลชน(ต่อไปนี้จะเรียกว่าสมาชิก) หรือการให้ผู้แทนสร้างสมาชิกก็เป็นการคาดหวังและสร้างภาระต่อผู้แทนมากเกินไป รวมถึงสมาชิกที่ผู้แทนสร้างจะเป็นสมาชิกของผู้แทนไม่ใช่สมาชิกพรรค เมื่อไม่ใช่สมาชิกที่เป็นอิสระในการตัดสินใจมากนัก การตักเตือนหรือถ้าในอนาคตมีการโหวตเลือก ก็จะได้เสียงโหวตแบบฐานเสียงมากกว่าเสียงโหวตอิสระ พรรคต้องสร้างสมาชิกก่อนจึงควรมีผู้แทนจึงจะหยั่งรากได้อย่างมั่นคง และถ้าพรรคเลือกทำสมาชิกก่อน เวลาไม่เกิน 2 ปีผู้แทนที่มาจากประชาชนก็จะผลิดอกออกผล
แต่ที่ผ่านมาพรรคไม่ได้เลือกทางนี้ สิ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาคือสมาชิกจะมีเจ้าของ รวมถึงการสร้างภาระให้ผู้แทนมากเกินไป โดยที่ผู้แทนไม่มีมวลชนหนุน ผู้แทนก็สามารถเลือกแปรพักตร์ได้ง่าย ไม่รวมถึงผู้แทนที่แฝงตัวมาจากพรรคตรงข้าม แล้วถ้าวันใดที่ผู้แทนแปรพักตร์ไป พรรคก้าวไกลก็ต้องมีปัญหากับการเฟ้นหาผู้แทนคนใหม่ในเวลาการคัดกรองที่น้อยลงมากๆ ซ้ำนั้นยังไม่พอ สมาชิกที่มาจากผู้แทนคนนั้นก็อาจจะลาออก ทำให้พรรคต้องคอยมาหาสมาชิกในเขตนั้นใหม่เพื่อรับรองผู้แทนคนใหม่ ซึ่งยิ่งถ้าให้ผู้แทนคนใหม่หาก็ยิ่งสร้างภาระให้กับผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้แทนมากขึ้นไปอีก ดังนั้นการที่พรรคเลือกสร้างผู้แทนก่อนสมาชิก สำหรับมุมมองส่วนตัวผมจึงไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องงูเห่าแต่อย่างใด แล้วการสร้างสมาชิกหลังสร้างผู้แทนก็เป็นเรื่องที่ช้าไป เพราะสมาชิกพรรคแบบธรรมชาติก็จะเจอกลุ่มก้อนสมาชิกของผู้แทน ทำให้เวลาโหวตก็เหมือนว่าฝั่งผู้แทนมีเสียงตุนเอาไว้อยู่แล้ว การจะเปลี่ยนผู้แทนในกรณีที่ผู้แทนไม่ทำงานก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ใช่ว่าจากสถานการณ์จะไม่มีทางแก้ไขเลย แม้ว่าแก้ยากแต่ก็ยังพอแก้ไขได้ แต่ต้องยึดกุมเรื่องของสมาชิกพรรคเอาไว้มากๆ ชัยชนะของก้าวไกลไม่ได้อยู่ที่ Big Name คนไหน แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรค พรรคต้องให้ความสำคัญมากๆกับการสร้างระบบสมาชิกที่เติบโตทั้งบทบาท ความคิดและอุดมการณ์ เพราะที่ผ่านมาต้องเรียกว่าพรรคละเลยระบบสมาชิกมาก มีอยู่แต่แทบไม่ได้ engage สมาชิกพรรคเลย ความแตกต่างระหว่างสมาชิกกับประชาชนทั่วไปในการรับข่าวสารและทำกิจกรรมคือแทบจะเรียกได้ว่าเกือบเท่าเทียมกัน กิจกรรมที่ให้สมาชิกมีส่วนร่วมก็แทบจะไม่มี ไม่ต้องพูดถึงระบบที่จะสร้างสมาชิกให้เติบโตทั้งบทบาท ความคิดและอุดมการณ์เลย อย่างมากพรรคอาจจะเรียกสมาชิกตอนโหวตรับรองอะไรบางอย่าง แต่ส่วนใหญ่การโหวตรับรองด้วยการไม่มีส่วนร่วมของสมาชิกก็เป็นการทำพิธีเพื่อให้ผ่านกฎหมายเฉยๆ ดังนั้นถ้าพรรคจะแก้เกม พรรคต้องสร้างระบบการเติบโตของสมาชิก เพื่อที่สมาชิกที่เป็นบุคคลทั่วไปในวันนี้ เมื่อผ่านเข้าระบบพัฒนาสมาชิกแล้ว จะสามารถเข้ามารับบทบาทที่สร้างผลต่อการดำเนินงานของพรรคได้ในอนาคต และผู้แทนที่มาจากระบบนี้ที่มีสมาชิกพรรคเป็นฐานรากก็แทบจะไม่เป็นงูเห่าได้เลย เพราะสิ่งที่ร้อยรัดผู้แทนไว้ไม่ใช่ผลประโยชน์ แต่เป็นชุดอุดมการณ์และเสียงของผู้ที่ส่งเขาเข้ามาต่อสู้ทางการเมืองต่อ และการที่เขาจะเลือกทรยศความไว้วางใจก็ราคาแพงกว่าการไม่มีรากฐานเสมอ
เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้มากครับ
ตอนนี้ปัญหาของผู้สมัครในหลายๆพื้นที่คือ ถูกส่วนกลางคัดเลือกมา ไม่รู้จักพื้นที่ดีพอ ไม่มีฐานมวลชน และตัวผู้สมัครเองก็ศักยภาพยังไม่สูงพอที่จะสร้างมวลชนเองได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้สมัครอาจเร่หาสมาชิกมาเพียงพอต่อการตั้งตทจ.ได้ หาคนที่ตกลงรับบทเป็นตทจ.และรองตทจ.ได้ แต่ไม่เกิด engagement ทางใจเพราะรู้สึกว่าเป็นแค่พิธีกรรมตามกฎหมาย ตทจ.ควรเกิดขึ้นโดยกระบวนการที่ Organic จากการมีส่วนร่วมของสมาชิกให้ได้มีปฏิสัมพันธ์รู้จักกัน และทีมงานจังหวัดที่เกิดขึ้นโดยการรวมตัวกันอย่าง Organic จะช่วยก่อร่างคนที่มีบุคลิคของความเป็นผู้นำและผูกพันธ์กับสมาชิก คนแบบนี้จะเหมาะสมให้ทีมจังหวัดได้คัดเลือกให้เป็นว่าที่ผู้สมัครได้ อาจให้คัดเลือกได้หลายคนแล้วส่วนกลางเป็นคนตัดสินสุดท้าย
ยิ่งความผู้กพันธ์สูง โอกาสที่ผู้สมัครหักหลังเป็นงูเห่าก็ยิ่งมีน้อย
จะให้เร็วขึ้นอีกหน่อย ส่วนกลางต้องพัฒนาทีมที่ไปกระตุ้นความ Organic นี้ ซึ่งไม่ควรเป็นผู้สมัคร สส. เพราะจะเกิด Conflict of Interest ขึ้น ทางที่ดีทีมส่วนกลางต้องสร้างทีมงานจากส่วนกลางให้ลงไปเป็นผู้ประสานงานที่เอื้อให้ความ Organic นี้เกิดเร็วขึ้นครับ ถ้าที่ไหนพอตั้งหลักได้แล้วผู้ประสานงานคนนั้นก็ไปทำในพื้นที่อื่นต่อแทน
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ในประเด็นการที่ต้องให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรค เรื่องสมาชิกพรรคนี้ทำให้ผมเชื่อมโยงไปอีกหัวข้อ (ที่ปักหมุดเช่นกัน) ที่ admin ลงไว้เรื่อง "ออกแบบการลงพื้นที่" การสร้างกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ให้สมาชิกพรรคในพื้นที่นั้นๆ พบปะกัน เพื่อตอกย้ำอุดมการณ์ แนวความคิด หรือเรื่องต่างๆ แล้วสื่อสารออกไป อาจจะช่วยดึงจำนวนสมาชิกมาเพิ่มขึ้น สมาชิกที่เพิ่มขึ้นก็หมายถึงฐานคะแนนเสียงที่กว้างขึ้น
เห็นด้วยครับกับการสร้างกิจกรรมพรรคอย่างต่อเนื่อง เอาเข้าจริงๆแล้วสำหรับพื้นที่ที่บุกเบิกแต่พอมีสมาชิกอยู่บ้าง ทีมงานส่วนกลางสามารถส่งทีมลงไปจัดตั้งสมาชิกพรรคในพื้นที่ได้ด้วยการเรียกว่าประชุมสมาชิกในพื้นที่นั้นๆ แล้วมอบแนวทางคร่าวๆเพื่อให้สมาชิกได้แนวทางในการจัดทำกิจกรรมของตนเอง พร้อมทั้งมอบหมายให้ตัวแทนจากส่วนกลางในทีมที่ลงไปซักคนเป็นเสมือนผู้ประสานงาน โดยหน้าที่ของผู้ประสานงานจะทำหน้าที่สนับสนุนกิจกรรมสมาชิกให้อยู่ในแนวทาง และเคลียร์เอกสารที่จำเป็น แต่ไม่เข้าไปแทรกแซงมากเกินไปให้สมาชิกปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไร ผู้ประสานงานจะเป็นเพียงที่ปรึกษาที่แนะนำว่าเคสที่อื่นทำอะไรประมาณไหน หรือทำอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับแนวทางพรรค โดยอาจจะอยู่ในพื้นที่ราวๆ 3-6 เดือนตามความเหมาะสมที่สมาชิกเริ่มตั้ง ตทจ.ได้ ซึ่งจะเป็นกลไกที่ส่งเสริมให้สมาชิกจับกลุ่มทำกิจกรรมกัน เมื่อมีกิจกรรมที่สอดคล้องกับแนวทางของพรรคในปริมาณที่ถี่และต่อเนื่องเพียงพอ เช่น การจัดกิจกรรมรับสมัครสมาชิก การทำกิจกรรมระดมทุน การทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ การตั้งเวทีสาธารณะ เป็นต้น
อยากให้คัดเอาคนที่ไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อนและไม่เคยอยู่พรรคการเมืองใดมาก่อน จะน่าเชื่อถือกว่า เหมาะแก่การพิจารณาเป็นผู้สมัคร สส จะหมดกังวลเรื่อง สส งูเห่า ได้มากเลยครับ พรรคแรกคือบ้านหลังแรก จะรักและผูกพันเสมอ จะทุ่มเทจริงใจกับพรรคมากกว่าครับ ผมคนเพชรบูรณ์อยากให้ก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล เปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นครับ
งานสมาชิกสัมพันธ์ของพรรคยังอ่อนมากครับ ควรปรับปรุงด่วน อย่าให้สมาชิกพรรคต้องรู้สึกว่าพรรคจะเข้าหาสมาชิกก็ตอนใกล้เลือกตั้งเท่านั้นครับ
เห็นด้วยกับความคิดนี้ครับ
ตอนนี้ หลายๆ ว่าที่ผู้สมัคร แอบมาเนียนทำงานกับพรรค แต่ดูๆ หลายๆคน ถ้าได้ หรือไม่ได้ พร้อมจะออกไปแน่นอน และบางส่วนก็เข้ามาทำลายพรรค แบบนี้จะไม่ออก แต่ จะอยู่เป็นปรสิต ทำลายพรรคไปเรื่อยๆ
เรื่องผู้สมัครแฝงเป็นเรื่องที่น่ากังวลครับ เอาเข้าจริงพวกปรสิตนี่น่ากลัวกว่างูเห่าเยอะ แต่ถ้ากลไกสมาชิกเป็นระบบขึ้น และตั้งอยู่บนพื้นฐานการทำงานด้วยอุดมการณ์พรรคในความถี่ที่เพียงพอแล้ว สองสิ่งนี้จะอยู่ได้ไม่นานครับ เพราะสองสิ่งนี้อิงอาศัยกับ Big Name เมื่อไหร่ที่กระจายอำนาจให้สมาชิกอย่างจริงจังแล้ว คนกลุ่มนี้จะเริ่มอยู่ลำบากขึ้นครับ
คนที่จะมาเป็นตัวแทนพรรคต้องได้รับการเข้าอบรมเกี่ยวกับพรรค นโยบาย และรูปแบบที่พรรคกำหนดไว้ ทำงานเป็นกลุ่่มก้อน ทำงานแนวทางเดียวกัน จะลดการเป็นงูเห่าได้เยอะเลยครับ
การทำงานเป็นทีมเป็นทักษะที่จำเป็นเลยครับ ถ้าไม่ทำงานร่วมกันก็ไม่มีทางรู้บทบาทของกันและกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำงานก็ต้องสอดคล้องกับอุดมการณ์และนโยบายพรรคเช่นกัน ไม่อย่างนั้นทีมงานอาจจะหนทางไปกับแนวทางแบบอำนาจนิยมเอาได้
ขอบคุณข้อเสนอจากคุณ blueocynia เรื่องการคัดกรองสมาชิก/ผู้แทนและประเด็นเรื่องงูเห่าด้วยครับ. คุณ blueocynia ให้รายละเอียดมาเยอะและตั้งใจมาก. เดี๋ยวรอท่านอื่น ๆ มาให้ความเห็นต่อครับ
ถึงกับต้องเข้าระบบมาเพื่อโหวตชื่นชอบความเห็นนี้เลย ถูกใจขนาดไหนลองคิดดู
การคัดเลือกคนมาทำงานให้พรรค ควรใช้
“A LITMUS TEST” (ตัวชี้วัดว่าพฤติกรรมนักการเมืองคนนี้เป็นเผด็จการหรือต่อต้านประชาธิปไตยหรือไม่) เค้าคิดออกมาเตือนประชาชนที่จะเลือกตั้งและเตือนพรรคการเมืองด้วยว่า อย่าให้คนที่มีลักษณะแบบนี้เข้าไปมีอำนาจทางการเมืองการปกครองได้ มี 4 ตัวชี้วัด หากมีอันใดอันหนึ่งถือว่าใช่เลย คนเขียนเชื่อว่า หากเรา identify คนพวกนี้ได้เร็วก่อนเค้าเข้าไปมีอำนาจ ก็จะช่วย save democracy ได้ตั้งแต่แรก (หนังสือเรื่อง How Democracies Die เขียนโดยอาจารย์ Harvard 2 คนด้านวิชาวิทยาศาสตร์การเมืองด้วย) เขียนไม่ได้ยาวนะครับ จะ post ไว้ที่หัวข้อต่อๆ ไปเพิ่ม
1. ปฏิเสธหรือไม่ให้ความสำคัญกับกฎกติกาทางประชาธิปไตย
1.1) ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญหรือแสดงความเต็มใจที่จะละเมิด
1.2) เสนอความจำเป็นในการใช้มาตรการต่อต้านประชาธิปไตย เช่น ให้ยกเลิกการเลือกตั้ง ละเมิดหรือระงับการใช้รัฐธรรมนูญ ห้ามองค์กรบางองค์กร หรือจำกัดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานทางการเมืองของประชาชน
1.3) หาทางใช้หรือสนับสนุนให้มีการใช้วิธีการนอกเหนือรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล เช่น รัฐประหาร การจลาจล หรือประท้วงระดับใหญ่เพื่อบังคับให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล
1.4) พยายามทำลายความชอบธรรมของการเลือกตั้ง เช่น ปฏิเสธรับผลการเลือกตั้งที่เชื่อถือได้
2. ปฏิเสธความชอบธรรมของฝ่ายค้าน/คู่แข่งทางการเมือง
2.1) ได้อธิบายว่าฝ่ายค้านทำลายหรือต่อต้านกติกาตามรัฐธรรมนูญที่มี
2.2) อ้างว่าคู่แข่งเป็นภัยคุกคามไม่ว่าเรื่องมั่นคงของรัฐหรือความเป็นอยู่ของประชาชน
2.3) อ้าง (แบบไม่มีมูล) ว่าคู่แข่งเป็นอาชญากรทำผิดกฎหมาย (หรือมีแนวโน้มทำผิดกฎหมาย) ลดคุณค่าของคู่แข่งในการเข้าสู่สนามการเมือง
2.4) อ้าง (แบบไม่มีมูล) ว่าคู่แข่งเป็นตัวแทนของต่างชาติ ไปเป็นพันธมิตรกับต่างชาติ (หรือถูกจ้าง) โดยเฉพาะชาติที่เป็นศัตรูด้วย
3. มีความอดทนต่อหรือการสนับสนุนความรุนแรง
3.1) มีความสัมพันธ์กับกลุ่มมีอาวุธ ทหารรับจ้าง กองทัพ กองกำลัง หรือองค์กรอื่นใดที่ก่อให้เกิดความรุนแรงได้
3.2) ได้สนับสนุน (โดยคนนี้เองหรือโดยพันธมิตรของคนนี้) ให้มีการใช้ม๊อบโจมตีคู่ต่อสู้
3.3) ได้สนับสนุน (โดยนัย) คนที่สนับสนุนเค้าในการก่อความรุนแรง โดยไม่ประณามหรือลงโทษในเรื่องนี้
3.4) ได้ชื่นชมหรือปฏิเสธที่จะประณามการกระทำอื่นใดเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าจะในอดีตหรือที่ใดในโลก
4. มีความพร้อมที่จะจำกัดเสรีภาพของประชาชน/คู่แข่ง รวมถึง สื่อ
4.1) ไปสนับสนุนกฎหมายหรือนโยบายซึ่งจำกัดเสรีภาพของประชาชน เช่น ไปขยายกฎหมายหมิ่นประมาท หรือกฎหมายจำกัดการประท้วง การวิจารณ์รัฐบาล หรือองค์กรภาคประชาชน
4.2) ข่มขู่ที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายหรือมาตรการอื่นใดที่จะจัดการกับคนวิจารณ์ในฝ่ายค้าน ภาคประชาสังคม หรือสื่อ
4.3) ได้ชื่นชมมาตรการกดขี่ที่รัฐบาลอื่นใช้ไม่ว่าจะในอดีตหรือที่ใดในโลก
ป.ล. หากเข้าข้อหนึ่งข้อใด ไม่ควรรับมาเข้าทำงานให้พรรค หากต้องการประชาธิปไตยที่่แท้จริง