ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia) นี่คือฉายาของประเทศไทยจากการที่เป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์สันดาปมานานหลายทศวรรษ ซึ่งสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนไทยหลายแสนคนรวมไปถึงก่อให้เกิดบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เจ้าต่าง ๆ ภายในประเทศ และถือเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
หลังจากที่เวลาได้ผ่านล่วงเลยมานาน หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดการเกิดภาวะโลกร้อนที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบนิเวศ โดยได้มีการประกาศเจตนารมณ์ในการบรรลุเป้า "Carbon neutrality" และ "net zero emissions" ซึ่งหนึ่งในย่างก้าวที่สำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นกุญแจสำคัญเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ดังกล่าว
แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ช่วงหลังมานี้สัดส่วนการส่งออกรถยนต์ในตลาดโลกของไทยลดลงจาก 1.7% เหลือ 1.3% แต่ประเทศจีนกลับเพิ่มจาก 0.7% เป็น 1.5% และบริษัทรถยนต์รายใหญ่บางค่ายเริ่มลงทุนตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย รวมไปถึงการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียมีต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่า ตลาดที่ใหญ่กว่า รวมไปถึงเป็นประเทศอันดับ 1 ในการส่งออกแร่ "นิกเกิล" ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตแบตเตอรี่ โดยสถานการณ์นี้ทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตรถยนต์ EV ครบวงจรตั้งแต่เหมือง, โรงถลุงแร่, โรงงานผลิตรถยนต์ EV จนไปถึงโรงงานรีไซเคิล หรือคำว่าดีทรอยด์แห่งเอเชียกำลังจะเป็นอดีตของประเทศไทย ?
จะทำอย่างไรไม่ให้เราตกขบวนรถไฟคันนี้ที่กำลังเคลื่อนผ่านประเทศไทยเราไปอย่างรวดเร็ว หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป มีโอกาสที่นักลงทุนจะย้ายฐานการผลิตไปยัง 2 ประเทศข้างต้นกันหมด เหตุผลคือ เรามี FTA กับจีน ส่งผลให้เราสามารถนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าได้โดยไม่มีภาษี และการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีแนวโน้มถูกกว่าการผลิตในประเทศ เนื่องจากปริมาณการผลิตที่มีขนาดใหญ่กว่าไทย ซึ่งสถานการณ์ก็คงจะเริ่มมีหน้าตาคล้ายกับออสเตรเลียที่เริ่มมี FTA กับไทย และกลายเป็นว่าสุดท้ายก็ได้นำเข้ารถยนต์จากไทยแทน
จึงเป็นที่มาของคำถามตัวโต ๆ ว่าไทยเรามีดีอะไรทำไมนักลงทุนจำเป็นต้องลงทุนกับประเทศไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และจะทำอย่างไรให้เรามีดีมากพอ ?
1. เราควรมีจุดแข็งเป็นของตนเอง ก็คงเหมือนกับ TSMC ของไต้หวันมีเซมิคอนดักเตอร์, อินโดนีเซีย มีแร่ "นิกเกิล" สำหรับผลิตแบตเตอรี่ และ จีน มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ดังนั้นการลงทุนในเรื่องการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ทางเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อเร่งหาจุดแข็งใหม่ ๆ ให้กับประเทศเราเอง และอาจรวมไปถึงใช้ข้อแลกเปลี่ยน หรือ สิทธิพิเศษทางภาษีบางอย่างเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุน
2. การขึ้นค่าแรงเป็นสิ่งที่ควรพึงระวังและควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มิเช่นนั้นไทยเราจะยิ่งเสียเปรียบในด้านค่าแรงกับประเทศคู่แข่งอื่นที่เป็นฐานการผลิต โดยในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเราสามารถมองในมุมของรัฐสวัสดิการที่ดี และการลดค่าครองชีพในชีวิตประจำวันได้
3. เร่งผลักดันความต้องการ (Demand) การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ และสร้างระบบสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าสำหรับ EV ให้ทั่วถึงโดยเร็ว เช่น สถานีชาร์จไฟ เป็นต้น เนื่องจากการผลักดัน Demand คงจะเป็นไปได้ยากหากผู้ใช้งานยังคงมีความกังวลเรื่องสถานีชาร์จ หรือสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวยนัก
หากเราไม่เร่งเดินหมากในเกมนี้ ภายใน 3-5 ปี ประเทศคู่แข่งจะเริ่มมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น เราอาจจะต้องสูญเสียฐานการผลิตให้กับประเทศคู่แข่ง และคงจะเกิดปัญหาใหญ่ที่ตามมากับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศอย่างแน่นอน
เราเสียโอกาสไปมากมายมาหลายปี อินโดนำเราไปไกลมากแล้ว ทางเดียวที่จะกู่กลับคือก้าวไกล ได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น พรรคอื่นยังมองไม่เห็นว่าจะกล้าแตะโครงสร้างนี้เลย อยากเห็นแนวทางพรรคเช่นกัน
ใช่ครับ อินโดน่ากลัวมากตอนนี้ ไม่อยากให้ประเทศไทยเป็นเหมือนออสเตรเลียในอดีตครับ